ชมงานศิลปะที่ LACMA กับศิลปินแห่งชาติ
Los Angeles County Museum of Art (LACMA) ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาฝั่งตะวันตก http://www.lacma.org/ ตั้งอยู่ที่
5905 Wilshire Blvd. ในเมือง Los Angelesได้ยินมาว่ามิวเซียมแห่งนี้มีเศรษฐีใจดีบริจาคเงินประมาณ 50 ล้านเหรียญฯในการก่อสร้าง ด้วยความหวังที่จะให้นครลอสแอนเจลิสเป็นเมืองแห่งศิลปะ
5905 Wilshire Blvd. ในเมือง Los Angelesได้ยินมาว่ามิวเซียมแห่งนี้มีเศรษฐีใจดีบริจาคเงินประมาณ 50 ล้านเหรียญฯในการก่อสร้าง ด้วยความหวังที่จะให้นครลอสแอนเจลิสเป็นเมืองแห่งศิลปะ
การไปเยี่ยมชม LACMA คราวนี้ เป็นจังหวะชีวิตที่น่าตื่นเต้น เพราะได้ไปกับคณะศิลปินแห่งชาติของไทย ซึ่งได้เดินทางมาเปิดนิทรรศการศิลปะแลกเปลี่ยนนานาชาติระหว่างไทยและสหรัฐฯปี 2008 ประกอบด้วย ดร.ถวัลย์ ดัชนี, ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ, ดร.กมล ทัศนาญชลี, ศ.เกียรติศักดิ์ ชานนนารถ, อ.นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน, ศ.เดชา วราชุน รวมทั้งอ.ประเทือง เอมเจริญ ซึ่งแม้จะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเองก็ได้ส่งผลงานมาจัดแสดง นอกจากนี้ยังมีผลงานของรศ.สรรณรงค์ สิงหเสนี ซึ่งเป็นศิลปินรับเชิญด้วย
นอกจากคณะของศิลปินแห่งชาติแล้ว คุณจักร บุญ-หลง กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิสในสมัยนั้น พร้อมด้วยภริยาและลูกชายคนโต รวมทั้งกงสุลนิภาได้เดินทางมาสมทบด้วย พวกเราได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของ LACMA นำโดยแนนซี่ โทมัส รองผู้อำนวยการฝ่ายจัดแสดงนิทรรศการ ซึ่งมากล่าวต้อนรับก่อนการเข้าชม
แนนซี่ โทมัส (ขวาสุด) กล่าวต้อนรับคณะศิลปินแห่งชาติ |
มาพร้อมกับความหวัง และก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด ขอบอกว่านับตั้งแต่ก้าวเข้าไปใน Broad Contemporary Art Museum ต้องบอกว่า ชอบจริงๆ เพราะแนวงานที่ร่วมสมัย ดูแล้วเข้าถึงได้ไม่ยาก ที่นี่เป็นศูนย์รวมงานศิลปะในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะงานแนวสมัยใหม่แบบป๊อบอาร์ต ขอไม่อธิบายถึงรายละเอียดของชิ้นงาน แต่อยากให้ไปดูกัน เปรียบเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ถ้าเล่าให้ฟังทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วใครจะอยากไปดู แต่ขอเกริ่นเป็นพรีวิวเล็กน้อยว่าอย่าลืมเข้าไปเดินดูชิ้นเหล็กขนาดใหญ่ที่เอามาจากเรือบริเวณชั้นล่าง แล้วลองค้นหาว่ามีอะไรที่น่าทึ่งเมื่อเดินออกมาแล้ว
ไฮไลท์ของการมามิวเซียมหนนี้ นอกจากงานศิลปะแล้วยังได้สัมผัสเรื่องราวจากคำบอกเล่าของศิลปินแห่งชาติที่ใครได้รู้จักแล้วจะสร้างอนาคตได้ เพราะหากคุณรู้จักประหยัดก็จะทำให้มีอนาคตที่ดี มุกหนึ่งของ “ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ” ที่ยิงเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว การเดินดูงานไปคุยกับอ.ประหยัดไปทำให้มีรสชาติแบบครบเครื่อง
“ผมเป็นเด็กบ้านนอก เกิดที่จ.สิงห์บุรี อยู่ในชนบท เป็นคนลาวพวน มีขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ มีภาษาเป็นของตัวเอง พ่อเป็นครู ชีวิตตื่นมาลืมตาก็เจอแต่ทุ่งหญ้าเพราะแต่ก่อนไม่มีถนน ไปกรุงเทพฯใช้เวลาเกือบทั้งวัน สิ่งที่ติดฝังลึกอยู่ในใจคือทุ่งนา บ้านนอก นุ่งผ้าซิ่น ใส่เสื้อคอกระเช้า อยู่กันทั้งครอบครัว รักใคร่กลมเกลียวกัน” อ.ประหยัดเปิดใจถึงที่มาและตัวตนของท่าน เป็นการปูพื้นให้เข้าใจก่อนจะบอกว่า แนวงานจึงออกมาในรูปของสัตว์ต่างๆ พวกวัว พวกควาย ทิวทัศน์ และวัดที่เก่าแก่ ล้วนแล้วแต่มีแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ
อ.ประหยัด พงษ์ดำ กับผลงานของท่านที่นำมาแสดงในนิทรรศการศิลปะแลกเปลี่ยนนานาชาติระหว่างไทย-สหรัฐฯปี 2008 |
“คือไม่เสแสร้งดัดแปลง เข้าใจอะไรก็เขียนไปตามที่เข้าใจ ศิลปะสมัยใหม่ก็เรียนมาแต่ไม่ชอบทำ เพราะแสดงออกไม่ได้อย่างที่เราเข้าใจหรือที่เรารู้ งานเป็น Semi คือครึ่งๆระหว่างความจริงกับความนึกฝัน” ศ.เกียรติคุณท่านนี้กล่าวสมทบ
ท่านยังบอกเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเราด้วยว่า งานที่แสดงในมิวเซียมที่เห็นออกในแนวสมัยใหม่ ที่คนรุ่นท่านไม่ค่อยเข้าใจโดยเฉพาะพวกเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ยังซาบซึ้งในเรื่องศีลธรรม ประเพณี ไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนสมัยนี้
อ.ประหยัดจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากรแล้วได้รับทุนไปเรียนต่อที่อิตาลี 4 ปี ท่านบอกได้อะไรกลับมาเยอะ อย่างไรก็ตามความเป็นตัวของตัวเองยังคงอยู่ แม้จะหันมาใช้วัสดุหรือเทคโนโลยสมัยใหม่ แต่ความรู้สึกยังเป็นเรื่องเก่า การดูงานศิลปะ สำหรับคนที่จะเข้าใจอะไรได้ก็ต้องผ่านประสบการณ์มาก่อน ท่านเปรียบกับเรื่องความรัก หากเราไม่เคยมีความรักก็จะไม่เข้าใจว่ารักคืออะไร
“รูปที่เขียนได้ดีต้องเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ลอกใครเขามา ไม่ต้องเซ็นชื่อก็รู้ว่าใครวาด เมื่อตอนพ.ศ. 2503 ในหลวงเสด็จประพาสยุโรป ตอนนั้นผมอยู่ที่อิตาลี ทำ Exhibition ถวาย ท่านทอดพระเนตรรูปของผมรูปหนึ่ง ซึ่งสมัยนั้นผมชอบงานของอาจารย์ชะลูด นิ่มเสมอ งานที่ออกมาก็เลยคล้ายๆแก ในหลวงรับสั่งว่านี่ของประหยัดเหรอ ดูไกลๆนึกว่าชะลูด ผมรู้สึกทันที” อ.ประหยัดเล่าให้ฟัง โดยสิ่งนี้ทำให้ท่านสอนคนรุ่นใหม่ให้เขียนงานที่ตัวเองชอบและเข้าใจ ท่านเปรียบเปรยแบบเห็นภาพว่า “ไม่ใช่ว่าอยู่บนดอยแล้วเห็นคนเขียนทะเลสวยก็ไปเขียนทะเล อย่างผมอยู่บ้านนอกก็ไม่ดัดจริตไปเขียนแบบเด็กในเมืองกรุง อะไรที่มันเข้าไปอยู่ในใจ ประทับใจแล้วมันแกะออกยาก”
นอกจากบทบาทของศิลปินแห่งชาติ อาจารย์ผู้สอน อ.ประหยัดยังเป็นที่รักของลูกๆหลานๆ ด้วยความใกล้ชิดผูกพันกับครอบครัว ทำให้ท่านต้องรีบกลับเมืองไทยหลังเสร็จภารกิจการแสดงงาน นอกจากนี้ท่านยังมีงานรออยู่ นั่นคือการเขียนประวัติ 9 รัชกาล
No comments: