เสน่ห์แห่งซานดิมัส

8:50 PM
             มีคนเคยบอกว่าอย่ามองประเทศไทยแค่ความเป็นไปในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯเพียงเท่านั้น หรือพูดง่ายๆกรุงเทพฯไม่ได้สะท้อนภาพของเมืองไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนต่างชาติถ้ามาเที่ยวมาเห็นแต่ในกรุงเทพฯ ก็ได้ประสบการณ์ไปแค่เสี้ยวหนึ่ง ใครเคยบินไปเยี่ยมเพื่อนเยี่ยมญาติถึงอเมริกา ถ้าที่อยู่อาศัยของคนที่คุณไปเยี่ยมอยู่ในถิ่นที่มีเพื่อนบ้านเป็นคนไทย คนเอเชียชาติอื่นๆ หรือเพื่อนแม็ก (เม็กซิกัน) แล้วยิ่งไปกว่านั้น คุณไม่มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นบ้าง ลองคิดดูว่าภาพของสหรัฐอเมริกาในสายตาคุณจะเป็นยังไง
                การที่ได้ไปสัมผัสบรรยากาศของสถานที่ใหม่ๆตามความคิดของผู้เขียน เปรียบเหมือนการได้ลิ้มลองรสชาติอาหารที่ไม่ซ้ำซาก จำเจ แต่ไม่ขอไปตัดสินว่าคนที่ไม่ชอบเดินทางไปไหนจะคิดผิด ใครๆก็มีสิทธิจะกินของโปรดแบบเดิมๆ จริงมั๊ย
อาคารพาณิชย์ในเขตดาวน์ทาวน์ซานดิมัสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
              เคยไปเที่ยวเมืองซานดิมัส (San Dimas)ซึ่งอยู่ห่างจากดาวน์ทาว์นแอลเอไปทางตะวันออกประมาณ 30 ไมล์ ยอมรับว่าเมืองๆนี้มีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย ด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ดูด้วยสายตาแล้วคาดว่าผู้คนที่อยู่ที่นี่คงจะมีความสุขกับวิถีชีวิตที่ไม่ต้องแก่งแย่งอะไรกันมาก รถราก็ไม่จอแจ แต่เราเป็นคนนอกดังนั้นต้องไปฟังจากปากของคนในจึงจะน่าเชื่อถือ เราไม่รีรอที่จะติดต่อคุณชวพจน์ ถุงสุวรรณ เจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่เมืองนี้ตั้งแต่ปี 1978
คุณชวพจน์เล่าว่าส่วนใหญ่คนที่อาศัยอยู่เมืองนี้เป็นชาวอเมริกันผิวขาว สมัยก่อนเนื้อที่จำนวนมากเป็นสวนส้มและสตอเบอร์รี่ มีคนญี่ปุ่นไปซื้อไว้และจัดสรรที่ดินขาย ช่วงนั้นยังไม่มีฟรีเวย์ 210 ซานดิมัสตั้งอยู่ใกล้ๆเมืองลาเวิร์น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเคยเสด็จประทับที่ลาเวิร์นเมื่อปี 1955
ร้านขายดอกไม้

ซานดิมัส ตามความเห็นของคุณชวพจน์เป็นเหมือนเมืองเล็กๆ ไม่โต สมัยก่อนขึ้นอยู่กับเมืองโพโมนา แล้วตอนหลังเปลี่ยนมาอยู่ในแอลเอเคาน์ตี้ มีประชากรไม่มาก ประมาณสามถึงสี่หมื่นคน หากพูดถึงเมืองซานดิมัส คนมักจะนึกถึง Raging Waters หรือสวนสนุกทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย โดยข้อมูลของที่นี่บอกไว้ว่าติดอันดับ 3 ใน 10 ของสวนน้ำยอดเยี่ยมในสหรัฐฯ จากการจัดอันดับของ Travel Channel ช่องทีวีที่นำเสนอเรื่องของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ เปิดทุกวันเสาร์ที่1 และ 3 ของเดือน 10 am. – 2 pm.
สำหรับคนไทยที่อาศัยอยู่เมืองนี้จากการประเมินของคุณชวพจน์ซึ่งอยู่ที่นี่มานานพอสมควรบอกว่ามีประมาณ 50 คนเห็นจะได้ และมีร้านอาหารไทยอยู่ 2 ร้านคือร้าน Top Thai ซึ่งมีอยู่ก่อน ตามมาด้วยร้าน Lucky Elephant ตอกย้ำว่าอาหารไทยเป็นที่ต้องการของคนทุกชนชาติมากขึ้นเรื่อยๆ
บริเวณดาวน์ทาวน์ของซานดิมัส บนถนนโบนิต้าตัดกับซานดิมัส เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยไม้ สไตล์เมืองคาวบอยที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์แบบชาวตะวันตก ทุกๆเดือนกันยายนจะจัดขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองวันเกิดของเมืองซานดิมัส โดยบริเวณนี้เป็นที่รู้จักกันอีกชื่อว่า "Frontier Village" ซึ่งเป็นแหล่งรวมอาคารพาณิชย์บนถนนโบนิต้าทางทิศเหนือไปถึงทิศใต้ สิ่งก่อสร้างจำนวนมากถือว่ามีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์และยังอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้
ยูนิตนี้ประกอบไปด้วยร้านค้าและบริการที่หลากหลาย

อีกจุดหนึ่งที่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมืองนี้คือ Frank G. Bonelli Regional Park ตั้งอยู่ที่120 Via Verde Park Road บนเนื้อที่กว้างใหญ่ถึง 1,980 เอเค่อร์ ห้อมล้อมด้วยทะเลสาบที่สวยงาม เฉพาะเนื้อที่ของทะเลสาบก็ปาเข้าไป 250 เอเค่อร์ และยังเป็นแหล่งรวมของกีฬาทางน้ำไม่ว่าจะเป็นสกีน้ำ เรือใบ หรือวินด์เซิร์ฟ หากใครสนใจจะไปเที่ยวช่วงนี้จะเปิดตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงประมาณหนึ่งทุ่ม แต่ถ้าอดใจรอตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม จะขยายเวลาปิดไปเป็นสี่ทุ่ม
เป็นเมืองที่ปลอดภัย มีบ้านปลูกใหม่เยอะเป็นหมู่บ้าน โรงเรียนก็ดี ส่วนใหญ่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่จำนวนมาก คุณชวพจน์สรุปให้ฟังถึงภาพรวมของเมืองซานดิมัส และเราทราบมาว่ามีคนไทยหลากหลายอาชีพที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ แม้ว่าเมืองซานดิมัสที่จะอยู่ไกลจากชุมชนไทยไปสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าระยะทางจะไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดคงเป็นเพราะเสน่ห์แห่งเมืองนี้แน่ๆ ที่ดึงดูดพวกเขาไว้จนไม่อยากย้ายไปไหน
San Dimas Garage สร้างตั้งแต่ปี 1910 เป็นร้านที่ถูกจารึกว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมือง
 

No comments:

Powered by Blogger.