Las Vegas - Hoover Dam
Fourth of July หรือวันชาติของสหรัฐอเมริกาถือเป็นวันสำคัญที่มีการเฉลิมฉลองกันทั่วทุกพื้นที่ในประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล ใครที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาคงได้สัมผัสบรรยากาศที่ว่านี้กันมาแล้ว ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็จะได้ยินเสียงจุดพลุ ไม่ว่าจะเป็นตามชายหาด สถานที่จัดงานสำคัญๆของแต่ละเมือง เรื่อยไปจนถึงสวนสาธารณะ
ที่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา เป็นอีกแห่งที่ดึงดูดฝูงชนให้มาเฉลิมฉลองกันอย่างคึกคัก การเดินทางในช่วงเทศกาลก็เหมือนๆกันทุกที่แหละค่ะ ไม่ว่าจะที่เมืองไทยหรือเมืองนอก การจราจรจะหนาแน่นไปจนถึงติดขัด จะกินจะเที่ยวก็มีแต่คนจำนวนมาก ขับรถจากลอสแอนเจลิสไปลาสเวกัส มีระยะทางประมาณ 270 ไมล์ หรือราว 434 กิโลเมตร เราออกจากแอลเอตอนสายๆกว่าจะถึงก็บ่ายแก่ๆ มาถึงลาสเวกัสทั้งทีต้องไปรับประทานอาหารบุฟเฟต์ของโรงแรม น่าทึ่งจริงๆสำหรับเมืองทะเลทรายแห่งนี้ที่มีอาหารทะเลสดๆเป็นจุดขาย แถมราคาไม่แพง ถ้าไม่มีการสร้างคาสิโนในลาสเวกัส ที่นี่คงซบเซาเพราะความรุนแรงของสภาพอากาศ หน้าร้อนก็ร้อนจัด หน้าหนาวก็หนาวสุดๆ อิ่มกับอาหารนานาชนิดแล้ว ก็เดินไปรอชมการจุดพลุเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐฯที่โรงแรม Red Rock อยู่ในเมือง Summerlin ไม่ได้อยู่ใน Strip ซึ่งเป็นแหล่งศูนย์รวมของนักท่องเที่ยว ดังนั้น ที่นี่จึงมีคนท้องถิ่นมากกว่าในเขตสตริป ประมาณสามทุ่มเศษๆ เราเดินออกไปรอชมพลุทางด้านนอก จากนั้นไม่นาน ก็เริ่มมีการจุดพลุอย่างอลังการงานสร้างหลายชุดด้วยกัน ทำให้เลือดรักชาติของอเมริกันชนที่มารวมอยู่ ณ ที่นั้นพลุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยต่างโห่ร้องด้วยความภาคภูมิใจในเอกราชที่พวกเขาได้มา
คืนนั้นเราขับรถไปเที่ยวในบริเวณดาวน์ทาวน์ ลาสเวกัส ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่อยู่นอกสายตาของนักท่องเที่ยวไปเสียแล้ว ผิดกับสมัยก่อนที่คึกคักและเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนไม่ต่างจากในเขตสตริปในเวลานี้ เข้าคอนเซ็ปต์ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา จากนั้นเราจึงขับรถเข้าไปชมแสงสีเสียงในสตริป สัมผัสชีวิตกลางคืนที่ Sin City แห่งนี้
วันรุ่งขึ้นเรามุ่งหน้าสู่ Hoover Dam เพื่อชมความมหัศจรรย์ของฝีมือมนุษย์ในยุคก่อสร้างเขื่อนที่มีขนาดใหญ่มหึมา ตั้งอยู่ระหว่างรัฐเนวาดากับอริโซน่า ที่นี่จึงมักเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางผ่านสำหรับคนที่จะไปชมความยิ่งใหญ่ของ Grand Canyon ก่อนที่จะถึงตัวเขื่อน รถเริ่มวิ่งได้อย่างช้าๆ เราสังเกตเห็นโปรเจคก่อสร้างอะไรสักอย่าง เมื่อรถวิ่งเข้าไปใกล้ขึ้น เลยถึงบางอ้อว่าเป็นการก่อสร้างสะพานจากเขาลูกหนึ่งไปยังอีกลูกหนึ่ง สร้างความฮือฮาให้กับคณะเป็นอย่างมาก นี่ล่ะหนอมนุษย์ เอาชนะอุปสรรคต่างๆได้เสมอ เราถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก ถ้าใครมีแผนเดินทางไปเที่ยวฮูเวอร์แดม ขอบอกว่า คุณจะได้ไปชมวิวที่สะพานแห่งนี้แน่นอน เพราะเปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากเช็คข้อมูลแล้วพบว่า สะพานที่กำลังก่อสร้างตรงหน้าคือ “Hoover Dam Bypass Project” โดยหลักแล้วเป็นการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโคโลราโด ด้วยความยาวเกือบ 2000 ฟุตที่เริ่มก่อสร้างประมาณปลายเดือนมกราคมปี 2005 ด้วยความที่ทางหลวง 93 คลาคล่ำไปด้วยการจราจรที่ติดขัดเนื่องจากเป็นเส้นทางที่คนใช้สัญจรมายัง Hoover Dam จึงเป็นที่มาของโครงการที่ว่านี้ รวมระยะทางทั้งหมดประมาณ 3.5 ไมล์เริ่มต้นที่หลักไมล์ 2.2 ที่คลาร์คเคาน์ตี้ เนวาด้าและข้ามแม่น้ำโคโลราโดประมาณ 1,500 ฟุตตามกระแสน้ำในฮูเวอร์แดม ไปสิ้นสุดที่โมฮาวีเคาน์ตี้ในรัฐอริโซน่า ประมาณหลักไมล์ที่ 1.7 ของทางหลวงหมายเลข 93
เป้าหมายหลักของการสร้างสะพานก็เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรและแก้ปัญหาต่างๆ เช่น โค้งที่อันตราย ทางแคบ ไหล่ทางที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นคาดว่าจะช่วยลดอุบัติเหตุการสัญจรมายังในฮูเวอร์แดม นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้น ช่วยรักษาแหล่งผลิตพลังงาน ทั้งในส่วนของ Lake Mead และแม่น้ำโคโลราโดให้ปราศจากสารปนเปื้อนและการระเบิดที่อาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการรบกวนระหว่างส่งพลังงานไฟฟ้าและน้ำให้เราได้ใช้อุปโภคบริโภคกันด้วย
ระหว่างทางสู่ฮูเวอร์แดมในแบล็กแคนยอน ผ่านโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโคโลราโด รถเริ่มวิ่งได้อย่างช้าๆ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมุ่งหน้ามาที่นี่เป็นจำนวนมาก จากข้อมูลพบว่าในช่วงฮอลิเดย์จะมีรถยนต์โดยสารข้ามเขื่อนเกือบ 20,000 คันต่อวัน เพียงแค่หนึ่งอึดใจก็เห็นตัวเขื่อนอย่างชัดเจน เรานำรถเข้าไปจอดที่อาคารจอดรถ เสียค่าบริการ $7 เหรียญฯ
ใครที่หลงใหลในการท่องโลก ชมสิ่งมหัศจรรย์และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับชีวิต ขอบอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมชมฮูเวอร์แดม นี่เป็นเขื่อนที่ทำจากฝีมือแรงงานมนุษย์ และเพื่อให้ทริปนี้สมบูรณ์แบบเต็มไปด้วยข้อมูลที่ครบครัน คณะของเราได้ซื้อทัวร์ ผู้ใหญ่คนละ $11 เหรียญฯเพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของเขื่อนซึ่งมีโรงหนังเปิดแอร์เย็นฉ่ำฉายวิดีโอบอกถึงความเป็นมาและการอุทิศตนของแรงงานรุ่นบรรพบุรุษซึ่งต้องสังเวยชีวิตระหว่างการสร้างเขื่อน แม้ตัวเลขจะไม่สูงนัก จากการบอกเล่าของทัวร์ไกด์พบว่า จะมีการบันทึกสถิติผู้เสียชีวิตเฉพาะที่บริเวณก่อสร้างเขื่อน หากใครไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลจะไม่นับรวม เนื่องจากแพทย์จะระบุสาเหตุการตายว่าเกิดจากโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม เป็นต้น สำหรับตัวเลขของผู้เสียชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะตอบ แต่จากข้อมูลหลักรายงานไว้ที่ 112 ศพ เหตุผลที่ผู้คนต้องการงานที่นี่มากเป็นเพราะในช่วงนั้นภาวะเศรษฐกิจถดถอย บางคนแทบไม่อยากลาหยุดในช่วงเทศกาลเพราะกลัวว่ากลับมาแล้วจะถูกเสียบตำแหน่ง
หลังจากชมวิดีโอแล้ว เราก็ออกไปต่อคิวรอลิฟท์เพื่อลงไปชมโรงงานผลิตพลังงานทั้งไฟและน้ำชั้นใต้ดิน ซึ่งมีความลึก 530 ฟุต ใช้เวลาในลิฟต์ประมาณ 70 วินาที ยอมรับว่าลงไปแล้วรู้สึกหวั่นๆด้วยความที่ดูหนังมาก เลยมีจินตนาการล้นๆไปหน่อย ก็ไม่ให้เสียวได้ไง ข้างล่างเป็นอุโมงค์ที่ขุดในช่วง 1930s มีแสงไฟสลัวๆ ทางเดินก็แคบๆยาวๆเหมือนในหนังไม่มีผิด และด้วยความที่มีลูกทัวร์หลายคณะ จึงต้องมีการจัดระเบียบการเดินให้ชิดคนละทาง จะได้ไม่วุ่นวาย สถานที่แรกที่เราไปถึงเรียกว่า Penstock Viewing เพื่อชมท่อน้ำขนาดมหึมาที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ฟุต เจ้าท่อนี้สามารถส่งผ่านน้ำเกือบ 90,000 แกลลอนต่อวินาทีจากแหล่งน้ำในเลคมีดเข้าสู่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากพลังน้ำ ณ จุดนี้จะมีมอนิเตอร์แสดงให้เห็นภาพจำลองการทำงานของระบบดังกล่าวพร้อมการอธิบายจากเจ้าหน้าที่เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
จากนั้นเราลงลิฟท์ต่อไปอีก ไกด์บอกว่าจะใช้เวลายาวนานที่สุดในการโดยสารลิฟท์ ระหว่างที่ใจเต้นตุบๆ ปรากฏว่าประตูลิฟท์ก็เปิดออกทันที แหม...เจอมุกนี้ของฝรั่งเข้าไปถึงกับจุกกันเลยทีเดียว ก็ที่ว่ายาวนานนั้นน่ะ มันแค่ชั้นเดียวเอง แต่สิ่งที่อเมซิ่งที่ไปพบเจอก็คือโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ มีระเบียงทอดยาวประมาณ 650 ฟุตให้ได้ชมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างราว 17 เครื่อง ที่นี่นับเป็นจุดถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมอีกจุดหนึ่งที่พลาดไม่ได้
จุดสุดท้ายที่เราจะไปกันอยู่เหนือชั้นที่ชมวีดิทัศน์ในตอนแรกไปหนึ่งชั้น เรียกว่าเป็นจุดนิทรรศการสำหรับนักท่องเที่ยว โดยมีการจำลองสื่อต่างๆเพื่อให้เห็นภาพรวมนับตั้งแต่สร้างเขื่อน เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ ไม่เว้นแต่การแสดงถึงการผลิตไฟฟ้าในครัวเรือน บก.ของเราเล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบปีก่อนทัวร์ของฮูเวอร์แดมไม่มีอะไรสักเท่าไร เพียงแต่ให้ลงลิฟท์ไปด้านล่าง ไม่มีสื่อใดๆประกอบ มีเพียงเจ้าหน้าที่อธิบายความ จากนั้นก็กลับขึ้นมา เวลาผ่านไปสิ่งที่มาแทนที่คือการพัฒนาและความสะดวกที่นักท่องเที่ยวจะได้รับ เมื่อชมทุกอย่างครบถ้วนเราก็ไปถ่ายรูปมีวิวฮูเวอร์แดมเป็นแบคกราวน์ จากนั้นก็ออกไปเจอกับคณะของเราอีกสองท่านที่รออยู่ด้านนอก เป็นอันเสร็จทริปฮูเวอร์แดม
ฮูเวอร์แดมเริ่มก่อสร้างในปีค.ศ.1931 โดยใช้ชื่อของเฮอร์เบิร์ท ฮูเวอร์ ประธานาธิบดีคนที่ 31 ของสหรัฐฯ ขณะที่คนทั่วไปรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า โบว์ลเดอร์แดม คอนกรีตชุดสุดท้ายถูกเทลงเมื่อปี 1935 ด้วยการมุ่งมั่นของทุกฝ่ายทำให้เขื่อนนี้แล้วเสร็จก่อนที่คาดไว้ถึง 2 ปี แถมยังใช้งบประมาณน้อยกว่าที่วางไว้ ถือเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของอเมริกันชน ใกล้ๆมีทะเลสาบ Lake Mead ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา เป็นแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าและน้ำให้กับประชาชน โดยพลังงานประมาณ 56%ถูกสั่งจ่ายไปยังแคลิฟอร์เนียภาคใต้ ขณะที่ 19% ส่งไปยังอริโซน่าและ 25% เป็นของผู้ใช้ในรัฐเนวาดา
No comments: