Annyeong- haseyo : อันยองฮาเซโย สวัสดีกรุงโซล
Transit
Tour ที่กรุงโซล
เกาหลีใต้นั้นถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับผู้ที่เลือกโดยสารไปกับสายการบินเรียน
(Korean Air) ที่ค่าตั๋วไม่แพง พนักงานต้อนรับบนเครื่อง ยิ้มแย้มแจ่มใส
มีจิตใจที่จะบริการผู้โดยสารอย่างไม่เกี่ยงงอน
แถมยังหน้าตาน่ารักช่วยให้การเดินทางที่ยาวนานดูมีบรรยากาศที่ดีขึ้นเป็นลำดับ อาหารที่เสิร์ฟก็พอไปได้กับคนเอเชียอย่างเราเพราะจะต้องมีหนึ่งเมนูที่เอาใจคนเอเชีย
ทั้งขาไปและกลับจะมีข้าวยำเกาหลี (บิบิมบับ) ให้เลือก ส่วนมื้อเช้าก็มีข้าวต้มร้อนๆกินกับสาหร่ายไว้บริการเป็นทางเลือกนอกเหนือจากออมเล็ตหรือไข่เจียวฝรั่งที่จัดให้สำหรับคนชอบอาหารอินเตอร์
จากกรุงเทพฯไปยังแอลเอ
ผู้ที่ใช้บริการโคเรียนแอร์จะมีเวลาเปลี่ยนเครื่องนานถึง 7 ชั่วโมงเลยทีเดียว
แต่การรอคอยนี้จะกลับกลายเป็นเวลาอันมีค่าขึ้นมาทันที เมื่อคุณซื้อทัวร์เที่ยวภายในกรุงโซลซึ่งมีให้เลือกหลายแพคเกจด้วยกัน
ตั้งแต่ทัวร์ที่ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงไปจนถึง 1 คืน
สำหรับเราเลือกทัวร์ที่ใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆในกรุงโซล
โดยท่านสามารถจองทัวร์ได้ทางอินเตอร์เน็ต http://www.freedomtour.co.kr/ หรือจะเลือกจองพร้อมกันกับเวลาที่ซื้อตั๋วเครื่องบินเลยก็ได้
หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือเมื่อผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) และศุลกากรแล้ว คุณสามารถเดินมาซื้อที่เคาน์เตอร์ Transit Tour ที่อยู่หน้าประตูผู้โดยสารขาเข้า สะดวกสบายไม่แพ้กัน มาถึงตรงนี้หลายคนอาจมีข้อสงสัยไปต่างๆนานา เช่น แล้วเรื่องวีซ่าเข้าเมืองล่ะ ทัวร์พวกนี้เชื่อถือได้หรือเปล่าหนอ หรืออาจเกรงว่าจะเที่ยวเพลินจนตกเครื่อง ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไม่ว่าคุณจะถือพาสปอร์ตไทยหรืออเมริกัน คุณก็เข้าเกาหลีใต้ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับการอยู่ไม่เกิน 90 วัน ส่วนเรื่องบริษัททัวร์ที่มีบูธในแอร์พอร์ตของเขานั้นก็เชื่อถือได้ ไกด์ที่พาเที่ยวก็อัธยาศัยดีและเป็นมืออาชีพพอที่จัดสรรเวลาให้คุณได้เที่ยวโดยกะเวลาให้คุณได้กลับมาทันขึ้นเครื่องแน่นอน
สำหรับด่านศุลากร (Custom) ที่โซลสำหรับเรายิ่งไม่มีอะไรเพราะเราไม่มีสัมภาระที่เป็นกระเป๋าใหญ่ๆมาด้วย
เลยเดินออกไปอย่างตัวปลิว พอออกไปแล้วก็มองหาเคาน์เตอร์ Transit Tour ใหญ่อยู่พอสมควรจึงมองเห็นได้ง่าย เมื่อไปถึงก็บอกชื่อ
ไปเจอเอาไกด์ที่จะพาเราลุยกรุงโซลพอดิบพอดี พอเห็นเป็นไกด์สาวรุ่นๆเราก็นึกอุ่นใจเข้าไปเป็นกอง
แถมแม่ไกด์สาวคนนี้ยังมีอัธยาศัยดี
สุภาพเรียบร้อย เธอมีชื่อว่าลินจิ โค (Linji Ko) เรานึกในใจให้จำง่ายๆ
เลยเรียกเธอ (ในใจ) ว่าลิ้นจี่ จำง่ายดี เธอบอกว่าอีก 40 นาทีให้มาเจอตรงนี้
เพราะจะเริ่มออกทัวร์เวลา 9.00 น. โดยต้องแวะรับเพื่อนร่วมทัวร์อีก 5-6
คนที่โรงแรมใกล้ๆสนามบิน
หลังจากเครื่องของโคเรียนแอร์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากสุวรรณภูมิแอร์พอร์ต ซึ่งเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งในไทย ดังนั้นหากวันเดินทางของคุณระบุไว้ ยกตัวอย่างเช่น วันที่ 18 มกราคม เครื่องออก 00.55 น. คุณต้องมาเช็คอินในเวลา 21.55 น. คืนวันที่ 17 มกราคม เพราะเลยเที่ยงคืนไปก็นับเป็นวันใหม่ เข้าใจได้ไม่ยากใช่มั๊ยคะ เราใช้เวลาบนเครื่องประมาณ 5 ชั่วโมง เครื่องก็แตะรันเวย์ของสนามบินอินชอน เกาหลีใต้ ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 8.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง ด้วยความที่เดินทางในฤดูหนาว กรุงโซลจึงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา และแน่นอนค่ะว่าอากาศนั้นเย็นยะเยือก อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20 °F หนาวกว่าในแอลเอซะอีก เมื่อประตูเครื่องเปิดออกเราก็เร่งฝีเท้าเพื่อที่จะไปพบกับเจ้าหน้าที่ของ Freedom Tour ที่มารอรับหน้าประตูเครื่องตามที่เขาบอกเอาไว้เป๊ะ ทำให้สิ่งที่กังวลก่อนมาหายวับไปในบัดดล
เจ้าหน้าที่สุภาพสตรีอธิบายขั้นตอนต่างๆให้เราฟังพร้อมให้แผนผังสนามบินไว้
แต่ต้องขอบอกก่อนนะคะว่าที่เขามารับเพราะเราติดต่อไปยังการท่องเที่ยวเกาหลีเอาไว้ก่อน
แต่ถึงคุณซื้อทัวร์ไปเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะขั้นตอนต่างๆนั้นแสนง่ายและสะดวกสบาย
อ้อ..ลืมบอกไปว่า ตอนอยู่บนเครื่องพนักงานต้อนรับจะเดินแจกแบบฟอร์มเข้าเมือง สำหรับผู้ที่จะลงเที่ยวถึงแม้จะเป็น transit Tour และต้องต่อเครื่องไปยังจุดหมายอื่นคุณต้องรับแบบฟอร์มนั้นมากรอกให้เรียบร้อย เมื่อถึงช่วงที่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองซึ่งของเราเป็นผู้หญิง ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถาม เราก็ชิงพูดไว้ก่อนว่า “ไอมาเที่ยว Transit Tour แค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้นแหละ” เธอพยักหน้าหงึกๆแล้วก็แสตมป์ลงบนพาสปอร์ตใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีแถมยังกล่าวขอบคุณเราเสียอีก ลบภาพที่เคยจินตนาการไว้หลังจากเฝ้าอ่านเว็บบล๊อคต่างๆที่หลายคนเคยเจอตม.ดุๆที่เกาหลีจนพากันขยาด สาเหตุหนึ่งก็เพราะพี่ไทยหลายคนดันใช้สิทธิประโยชน์ในการเข้าเมืองโดยไม่ใช้วีซ่าโดดร่มอยู่ทำงานในเกาหลีน่ะสิ เขาก็เลยต้องเข้มหน่อยสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ชายที่กำยำล่ำสัน แต่ยังไงซะ เราก็ไม่นึกกลัวเท่าไร เพราะใครที่ผ่านพี่ตม.ของอเมริกามาได้ ที่ไหนในโลกก็ดูเด็กๆ ยิ่งถ้าใครสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ต้องเคยเจอฤทธิ์หงุดหงิดมาแล้ว เห็นมากับตา และเคยถูกเรียกให้ช่วยเพื่อนร่วมชาติมาแล้วหลายครั้ง แต่คนนิสัยดีๆก็มีค่ะ แล้วแต่โชคชะตาบุญพาวาสนาส่งว่าคุณจะเจอใคร
ระหว่างรอเราแวะใช้คอมพิวเตอร์ส่งอีเมลให้คนที่เป็นห่วงว่า
ทุกอย่างโอเค แล้วดูเว็บเช็คข่าวไปได้ไม่นานก็ถึงเวลานัด ทันทีออกมาจากสนามบินอินชอน
ร่างกายก็กระทบกับอากาศที่เย็นยะเยือก รีบขึ้นรถนำเที่ยวอย่างไม่รีรอ
หลังจากแวะรับคณะลูกทัวร์ที่เป็นชาวออสซี่แล้ว เราเริ่มทัวร์กันทันที ลินจิ
ไกด์สาวของเราทำหน้าที่บรรยายภาพกว้างของกรุงโซลว่าประกอบด้วยพื้นที่ส่วนใดบ้าง
ขณะที่หูฟังการบรรยายตาของเราก็สอดส่ายมองวิวทิวทัศน์สองข้างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อีกทั้งการท่องเที่ยวในระยะเวลาอันจำกัดก็ต้องรีบเก็บแต้มซะหน่อย
ที่น่าสังเกตอย่างมากก่อนจะถึงในตัวเมืองโซล
คือมองไปทางไหนก็เห็นแต่สะพานที่ถูกสร้างเพื่อข้ามแม่น้ำฮัน
ซึ่งเป็นแม่น้ำที่สายหลักของประเทศเกาหลีใต้ โดยลินจิบอกว่ามีสะพานข้ามแม่น้ำฮันทั้งหมด
27 แห่งเชียวล่ะ
ซึ่งแต่ละแห่งก็ใช้เวลาสร้างเฉลี่ย 2-3 ปี นั่งรถประมาณ 40
นาทีเห็นจะได้เราก็ถึงที่หมายแรก Cheong
Gye Cheon (ชอง เก ชอน) โครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของกรุงโซล
ที่นี่มีลำธารทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและถูกสร้างขึ้นรวมความยาวทั้งหมด 5.8
กิโลเมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงของเกาหลีใต้
ที่ว่าเป็นโครงการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพราะแต่เดิมลำน้ำสายเล็กๆตรงนี้เต็มไปด้วยมลพิษ
ขยะ อีกทั้งยังมีมลพิษทางอากาศเพราะถูกปกคลุมไปด้วยทางด่วน
มีรถวิ่งปล่อยมลภาวะทางอากาศและสียง
รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณใจกลางเมืองของกรุงโซล
รื้อทางด่วนบริเวณนั้นและพลิกฟื้นให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองอีกทั้งเมื่อแล้วเสร็จ
ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก
ในวันที่เราไปเยือนตรงกับวันคริสต์มาสอีฟพอดี
จึงมีการตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง
อีกอย่างประชาชนของเกาลหลีใต้นับถือศาสนาคริสต์จำนวนประมาณ 13.7 ล้านคน จึงให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้เป็นพิเศษ ขณะที่มีผู้นับถือศาสนาพุทธราว
10 ล้านคน
ด้วยความอยากรู้เราจึงเอ่ยปากถามไกด์สาวลิ้นจี่ของเรา เธอตอบว่าเธอไม่มีศาสนา
อีกทั้งครอบครัวของเธอบางคนก็นับถือคริสต์ บางคนก็นับถือพุทธ
นี่แสดงให้เห็นเสรีภาพในระดับครอบครัวไปจนถึงระดับชาติ
ในความเห็นของคนที่เพิ่งเคยมาเที่ยวที่นี่เป็นครั้งแรก
มองว่ากรุงโซลมีส่วนผสมที่หลากหลาย มองไปสองข้างทางบริเวณดาวน์ทาวน์มีตึกระฟ้าสูงๆเหมือนในอเมริกา
ส่วนย่านที่พักเต็มไปด้วยคอนโดมีเนียม อพาร์ทเมนท์ที่ขึ้นราวกับดอกเห็ด
ทำให้คิดถึงสภาพความเป็นอยู่ของคนฮ่องกง
ส่วนที่เป็นอาคารพาณิชย์ทั่วไปคล้ายๆกับที่กรุงเทพฯคือกระจัดกระจาย
ไม่ได้มีการทำโซนนิ่งที่เป็นระเบียบเหมือนในอเมริกา
คณะของเราแวะถ่ายรูปและเดินเล่นที่ชอง เก ชอนไม่นานก็ไปต่อที่พระราชวังเคียงบกกุง
(Gyeongbokgung Palace) ซึ่งถือเป็นพระราชวังที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด
สร้างขึ้นสมัยราชวงศ์โชซอน ในปี ค.ศ.1394 หรือกว่า 600 ปีก่อน เราใช้เวลาที่นี่ราว
1 ชั่วโมงเพื่อเดินชมศิลปวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ ที่หน้าพระราชวังมีทหารแต่งกายชุดประจำชาติยืนเฝ้าอยู่
อีกทั้งได้เดินเปลี่ยนแถวเวรยาม จุดนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว
จนอดไม่ได้ที่จะไปยืนถ่ายรูปกับพวกเขา ที่พระราชวังเคียงบกกุงเป็นศูนย์รวมของอำนาจ
การเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมในสมัยนั้น ภายในประกอบไปด้วยวังหลัก
รวมทั้งวังย่อยๆซึ่งเป็นที่ประทับของพระมเหสีและพระชายาองค์อื่นๆ
สร้างความประหลาดใจให้กับชาวตะวันตกที่ร่วมทริปของเราที่ซักถามไม่หยุดปาก
โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าในสมัยนั้นเขาไม่อนุญาตให้ออกจากวัง
จุดเด่นอีกแห่งหนึ่งภายในพระราชวังคือศาลากลางน้ำ
เคียงฮวยรู (Gyeonghoeru) ซึ่งตั้งอยู่กลางสระรูปดอกบัว
โดยสมัยนั้นถูกใช้เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
ความสวยงามของที่นี่ทำให้นักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปค่อนข้างหนาแน่น
อ้อ...พูดถึงนักท่องเที่ยว ในวันที่เราไปมีคณะของคนไทยจำนวนมากเลยทีเดียว
ส่งเสียงพูดกันเซ็งแซ่ ทำให้ไม่เหงา ที่มาเที่ยวกันเยอะไม่แพ้คนไทยคือกลุ่มทัวร์จีน
ที่มีเอกลักษณ์มีไกด์คอยถือธงนำหน้าไม่ให้แตกแถว
เราไม่ได้เข้าไปชมความงามภายในวังเพราะลินจิบอกว่าหน้าหนาวเค้าไม่เปิดให้เข้า
เพราะข้างในนั้นจะหนาวยิ่งกว่าข้างนอกเสียอีก แค่ฟังก็ขนลุก
อีกจุดที่น่าประทับใจคือรูปปั้นนักษัตร 12 ราศี เรื่องนี้คนเอเชียด้วยกันเข้าใจดี
แต่เป็นเรื่องแปลกของชาวตะวันตกที่กว่าจะอธิบายให้เข้าใจก็กินเวลาพอสมควร
ใกล้ๆกับรูปปั้นเป็นอาคารหลังใหญ่ ลินจิบอกว่าคือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พวกเราไม่มีเวลาเข้าไปชม
แต่หากท่านมีโอกาสไปเยือนกรุงโซลก็น่าจะเข้าไปเรียนรู้วัฒนธรรมของเขาอย่างเต็มรูปแบบ
จุดหมายต่อไปของเราคือถนนอินซาดง
แหล่งช้อบปิ้งของที่ระลึกและสินค้าทางวัฒนธรรม
มีเสื้อผ้าข้าวของสมัยใหม่ปะปนอยู่บ้าง เราโชคดีได้เดินกับลินจิ
เลยได้รับการบรรยายแบบเอ็กคลูซีฟ เดินไปฟังไปชมของไป ระหว่างบทสนทนาเราแอบชักชวนเธอมาเที่ยวเมืองไทย
ซึ่งเธอก็มีโครงการจะไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน
อีกเรื่องที่อดถามไม่ได้คือความนิยมทำศัลยกรรมของสาวเกาหลี
ที่เรารับข้อมูลจากสื่อไทยว่าเป็นเรื่องแสนจะธรรมดา
เด็กบางคนได้รับของขวัญวันเรียนจบด้วยแพคเกจทำศัลยกรรมจากพ่อแม่ด้วยซ้ำ
แต่จากปากของลินจิบอกว่า ถ้าเป็นการกรีดตาก็ดูจะเป็นเรื่องปกติ
แต่การทำศัลยกรรมส่วนอื่นๆก็ไม่ใช่ว่าจะป๊อบปูล่าเท่าไรนัก เธอยังอึ้งที่รู้ว่าคนไทยสนใจกันขนาดที่มีรายการทีวีของไทยเข้าไปถ่ายทำตอนที่หมอกำลังกรีดตา
เสริมจมูก เหลาคางมาให้คนไทยรับชมกัน
ที่อินซาดงมีขนมยอดนิยมที่ขายกันหลายร้าน
เรียกว่า Kkul Tarae เค้ามีการสาธิตการทำขนมนี้ให้เห็นกันสดๆ
จากก้อนน้ำผึ้งเค้าเคาะๆออกมาเป็นสายไหมยาวๆ ข้างในสอดไส้ถั่วอัลมอนด์ วอลนัท
หรือถั่วลิสงผสมงาแล้วแต่ชอบ อร่อยมากๆ เส้นไหมละลายในปาก รสชาติหวานพอดีๆ
ว่ากันว่าเคยเป็นของที่นำถวายกษัตริย์ และเชื่อกันว่าถ้าได้กินจะนำสุขภาพที่ดีและความรุ่งเรืองมาให้
คนทำขนมจะไม่จับเงิน เขาจะแยกแบงก์จำนวนต่างๆไว้ด้านหน้า
ให้ลูกค้าจ่ายและทอนเงินเอง
ปิดท้ายTransit Tour ด้วยข้าวกลางวัน มีเมนูให้เลือกแล้วแต่ความชอบ เราเลือกกินบูลโกกิ
เนื้อหมักเกาหลี ลูกทัวร์ที่มาไม่กินกันเลยเพราะเขาเป็นชาวยิวต้องกินอาหารของชาวยิวโดยเฉพาะ
ขากลับคนขับซิ่งพอสมควรเพื่อให้เราไปสนามบินทันเวลา ขาออกไม่ยุ่งยาก ตรวจพาสปอร์ต
เดินผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ใช้เวลาไม่นานก็เดินไปรอที่ประตูขึ้นเครื่อง
ถือเป็นอันจบทริป Transit Tour เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่า แม้เป็นช่วงสั้นๆแต่ทำให้ประทับใจไปอีกแสนนาน
No comments: