ขึ้นดอยตุง
โครงการพัฒนาดอยตุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ที่นี้มีสวนแม่ฟ้าหลวงที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับการสับเปลี่ยนหมุนเวียนพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่ถูกปลูกตามฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ที่คนไทยทั่วทุกภาคมักจะมาเยือนที่นี่เพื่อสัมผัสกับอากาศที่เริ่มมีไอเย็นและชมดอกไม้สวยๆนานาพันธุ์
สวนแม่ฟ้าหลวง ตั้งอยู่บนพื้นที่เดิมของหมู่บ้านอาข่าป่ากล้วย 62 ครอบครัว ในอดีตหมู่บ้านนี้เป็นเส้นทางผ่านที่สำคัญและเป็นที่พักของกองคาราวานที่ลำเลียงฝิ่น น้ำยาทำเฮโรอีน และอาวุธสงคราม ประกอบกับที่ตั้งมีลักษณะเป็นหุบลึกลงไป บ้านเรือนอยู่อย่างอัดแอ ไม่สามารถขยาย และดูแลเรื่องความสะอาดได้ ทางโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จึงขอให้หมู่บ้านย้ายไปอยู่ที่ใหม่ห่างจากที่เดิมราว 500 เมตร แต่ตั้งอยู่บนเนินเขา กว้างขวาง และสวยงาม เป็นที่พอใจของชาวบ้าน และสร้างสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาวบนพื้นที่หมู่บ้านเดิม เนื้อที่ 25ไร่ ตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ เพื่อให้คนไทยที่ไม่มีโอกาสไปต่างประเทศได้เห็นไม้ดอกเมืองหนาว ที่สวนแห่งนี้ ซึ่งได้รับการดูแลให้สวยงามตลอดทุกวันทั้งปี โดยดอกไม้จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละฤดูกาล ส่วนชาวบ้านก็มีรายได้จากการปลูกพืชสวนเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
นอกจากสีสันอันสวยงามของดอกไม้หลากหลายชนิดแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนชั้นดีอีกด้วย โดยจะมีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชให้ได้ชมกันทุกขั้นตอน นับตั้งแต่การฟอกฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ การชักนำให้เกิดยอดจำนวนมาก จนมาถึงระยะการชักนำราก เพื่อนำไปปลูกให้เจริญงอกงามอย่างที่เห็น และที่น่าตื่นตาตื่นใจคือพันธุ์ไม้บางชนิดที่หาดูได้ยากก็มารวมอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีบ่อบำบัดน้ำเสียที่ใช้วิธีธรรมชาตินั่นคือการปลูกพืชบำบัดน้ำเสียนั่นเอง
กลางสวนแม่ฟ้าหลวงมีงานประติมากรรม เป็นเด็กต่อตัวกัน โดยสมเด็จพระบรมราชชนนีพระราชทานชื่อว่าความต่อเนื่อง (continuity)สื่อถึงการทำงานที่จะสำเร็จได้ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นหลักปรัชญาที่ฝากแง่คิดให้ผู้ที่มาเยือน จึงไม่น่าแปลกใจที่ในปีพุทธศักราช 2536 สวนแม่ฟ้าหลวง ได้คว้ารางวัลพาตา โกลด์ อวอร์ด (PATA Gold Award) ประเภทรางวัลการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจากสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวเอเชีย-แปซิฟิกไปครอง
อีกแห่งหนึ่งที่เราพลาดไม่ได้แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักเพียงใด ก็ต้องขึ้นไปชมพระตำหนักดอยตุงให้ได้ จากข้อมูลในวิกิพีเดียระบุไว้ว่า พระตำหนักแห่งนี้ ถือเป็นบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า สร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ที่เน้นความเรียบง่าย และการใช้ประโยชน์ มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบล้านนากับบ้านพื้นเมืองของสวิส สร้างบนไหล่เนิน มองเห็นทิวทัศน์ได้ไกลสุดสายตา เป็นพระตำหนักสองชั้น และชั้นลอย ชั้นบนแยกเป็นสี่ส่วน แต่เชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังเดียว มีกาแล และไม้แกะสลักเป็นเชิงชายลายเมฆไหล ที่อ่อนช้อยโดยรอบ ภายในตำหนักล้วนใช้ไม้สน และไม้ลังที่ใส่สินค้า เป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่สวยงาม ภายในมีเพดานดาวบริเวณท้องพระโรง สลักขึ้นจากไม้สนภูเขา เป็นกลุ่มดาวต่างๆ ล้อมรอบระบบสุริยะ ส่วนบริเวณผนังเชิงบันได แกะสลักเป็นพยัญชนะไทย พร้อมภาพประกอบ
หลังจากที่ได้เยี่ยมชมพระตำหนักดอยตุง สิ่งที่ทำให้ประทับใจเป็นอย่างยิ่งคือการได้เห็นห้องบรรทมและห้องทรงงานที่สะท้อนพระราชจริยวัตรอันงดงามเรียบง่ายของสมเด็จย่า ในใจจึงคิดไปว่าในหลวงของเราทรงมีต้นแบบที่ดีงามเช่นนี้เองจึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อเตือนใจพสกนิกรของพระองค์มาจนถึงทุกวันนี้
จากดอยตุงเราไปต่อกันที่สวนรุกขชาติดอยช้างมูบเพื่อชมดงกุหลาบพันปีนานาพันธุ์ที่นำมาจากหลายทวีปทั้งเอเชีย อเมริกา ออสเตรเลีย เราเดินลัดเลาะตามไหล่เขาที่มีดอกไม้ให้ชมไปตลอดทางสลับกับกลิ่นหอมของต้นสน ไปจนถึงระเบียงชมวิวซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเย็น พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า แต่ด้วยความที่ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มควันทำให้ไม่สามารถมองเห็นประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกไปอีกแบบ คิดในแง่บวกว่าเป็นทะเลหมอกก็แล้วกัน
มาเยือนเชียงรายทั้งที หากไม่แวะไปสักการะที่วัดพระธาตุดอยตุงก็ดูเหมือนจะยังมาไม่ถึง ได้ไหว้พระแล้วก็สบายใจ ทริปนี้เราพักที่ภูใจใส ทำให้จิตใจแจ่มใสไปตามชื่อรีสอร์ตที่ทำให้เราได้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างเต็มเปี่ยม
No comments: