สายน้ำอัมพวา เส้นทางย้อนยุค

3:40 AM
             ไม่อยากจะเชื่อว่าขับรถออกจากกรุงเทพฯไปเพียงหนึ่งชั่วโมงด้วยระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร จะต้องอเมซิ่งกับสิ่งที่เห็น ด้วยบรรยากาศที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากความสับสนวุ่นวายแปรเปลี่ยนไปเป็นความสงบเงียบ เหมือนย้อนเวลาไปหลายสิบปี ภาพที่ได้สัมผัสคือชีวิตความเป็นอยู่อย่างชาวไทยสมัยก่อนกับชุมชนตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
               ได้ยินได้เห็นสถานที่แห่งนี้จากรายการโทรทัศน์ที่ส่งตรงมาจากเมืองไทย ตอนที่ดูอยู่ก็นึกในใจว่าถ้ามีโอกาสต้องไปเยือนให้ได้ ดังนั้นโปรแกรมตลาดน้ำอัมพวาจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องมาระหว่างการท่องเที่ยวเมืองไทย เมื่อทุกอย่างลงตัวเราก็ไม่รอช้า รีบแพคกระเป๋ามุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที

               ที่พักของเราสำหรับทริปนี้คือบ้านอัมพวา รีสอร์ตระดับสากลซึ่งถูกออกแบบเป็นเรือนไทย ผสมผสานด้วยห้องน้ำสไตล์สากลเพื่อความสะดวกสบายของแขกที่มาใช้บริการ บรรยากาศของที่นี่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะบริเวณห้องอาหารสบันงาซึ่งอยู่ติดแม่น้ำ มีลมเย็นๆพัดโชยมา ยิ่งในช่วงยามเช้าและช่วงแดดร่มลมตก พร้อมด้วยอาหารอร่อยๆจากเชฟที่มากด้วยประสบการณ์ด้านอาหาร ความสุขมันเอ่อล้นเกินคำบรรยาย

               บ้านอัมพวายังอำนวยความสะดวกในการจัดหาเรือหางยาวเพื่อพาเราไปเยี่ยมชมตลาดน้ำอัมพวาอีกด้วย เราได้เรือของลุงยะ ชายสูงอายุใจดีเป็นผู้นำทางแถมยังเป็นไกด์ไปตลอดเส้นทางราว 15 กิโลเมตร จากแม่น้ำแม่กลองที่ท่าน้ำของโรงแรมไปยังคลองอัมพวา ด้วยเส้นทางเป็นวงกลมไม่ต้องวิ่งเรือสวนทางกันแต่อย่างใด ไฮไลท์ของทริปนี้ไม่ได้อยู่ที่ตลาดน้ำอัมพวาเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการได้ชมหิ่งห้อยตัวเป็นๆในช่วงกลางคืน เราแอบหวังลึกๆในใจว่า คืนนี้เจ้าหิ่งห้อยจะมาอวดแสงไฟให้ได้ชมเป็นบุญตา ขณะที่ผู้สูงอายุในทริปแอบหัวเราะหึๆในลำคอ พลางบอกว่าจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนากับหิ่งห้อยที่ในอดีตมีอยู่ดาษดื่น


               เมื่อเรือเฉียดเข้าคลองอำพวา ภาพที่เห็นคือฝูงคนเดินไปมา ที่นั่งอยู่ก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยบริเวณริมคลองนั่นเอง เย็นวันนั้นไม่ค่อยมีเรือออกมาขายของมากนักเพราะฝนตกพรำๆเป็นระยะๆ ตลาดน้ำของที่นี่มีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์เท่านั้นค่ะ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่แห่มาสัมผัสบรรยากาศที่เรียบง่าย ไม่ได้ถูกปรุงแต่งเหมือนในสังคมเมือง แต่มันก็ทำให้อัมพวาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีที่พักแบบที่เรียกว่าโฮมเสตย์อยู่หลายแห่ง สร้างรายได้เสริมให้กับคนในท้องถิ่น ลุงยะเริ่มลดความเร็วของเรือ ช่วงนั้นมีคุณยายวัย 83 ปีพายเรืออย่างกระฉับกระเฉงมาใกล้ๆ เราเลยขอถ่ายภาพพร้อมกับอุดหนุนกล้วยน้ำว้า ในราคาหวีละ 5 บาท ราคานี้จริงๆค่ะ คุณไม่ได้อ่านผิด หรือผู้เขียนไม่ได้เขียนผิดแน่นอน
               จากนั้นเราขึ้นเรือแถวๆร้านสมานการค้า แวะดื่มกาแฟเย็นอันเลื่องชื่อ ด้วยระยะเวลาในการทำการค้ามากว่า 70 ปี จากรุ่นปู่สู่รุ่นพ่อ เรื่อยมาถึงรุ่นลูก เราแวะนั่งที่หน้าร้านแห่งนี้ ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมน้ำยามเย็น มีเสียงเพลงสมัยเก่าคลอเคลียอยู่ตลอด จากนั้นได้เดินชมร้านค้าละแวกนั้น มีอยู่ร้านหนึ่งที่ขายของเล่นและขนมแบบสมัยก่อน ชวนให้นึกถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่ยังไม่ถูกเกมคอมพิวเตอร์จากญี่ปุ่นมามอมเมาเหมือนในสมัยนี้


               คิดถึงการใช้ชีวิตของเด็กๆในเมืองยุคนี้แล้วเหนื่อยใจ คงต้องอาศัยการสร้างความรักความเข้าใจจากครอบครัวให้มากๆ กลับมาที่เรื่องของเรา หลังจากใช้เวลาที่ตลาดน้ำสักพัก เราก็ลงเรือต่อ ชมชีวิตความเป็นอยู่ของคนละแวกนั้น ที่ประทับใจอย่างหนึ่งคือรอยยิ้มและน้ำใจไมตรีที่ทุกคนหยิบยื่นให้ ไม่ได้เป็นวิถีชีวิตแบบตัวใครตัวมันอย่างในสังคมเมือง
               อีกหนึ่งจุดหมายที่เรือในลำน้ำต้องจอดคือวัดจุฬามณี วัดแห่งนี้มีความสวยงามมากและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธให้ความศรัทธา เราไม่ได้แวะขึ้นไปเนื่องจากวางแผนไว้ว่าวันรุ่งขึ้นก่อนกลับกรุงเทพฯจะต้องมาสักการะหลวงพ่อเนื่อง ที่ถึงแม้ท่านจะดับสูญไปแล้ว แต่ร่างของท่านไม่เน่าเปื่อย สร้างความฉงนให้ผู้คนไปตามๆกัน

               และแล้วเราก็เริ่มเห็นแสงไฟริบหรี่จากเจ้าหิ่งห้อย หรือคนในสมัยก่อนเรียกว่าตัวทิ้งถ่วง ซึ่งมารวมตัวอยู่ที่ต้นลำพู แสงไฟสวยงามระยิบระยับเหมือนไฟที่ถูกประดับที่ต้นคริสต์มาส แต่อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ เอาเป็นว่าบรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งใจไว้

               

No comments:

Powered by Blogger.