สายน้ำอัมพวา เส้นทางย้อนยุค
ไม่อยากจะเชื่อว่าขับรถออกจากกรุงเทพฯไปเพียงหนึ่งชั่วโมงด้วยระยะทางประมาณ
70 กิโลเมตร จะต้องอเมซิ่งกับสิ่งที่เห็น ด้วยบรรยากาศที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
จากความสับสนวุ่นวายแปรเปลี่ยนไปเป็นความสงบเงียบ เหมือนย้อนเวลาไปหลายสิบปี
ภาพที่ได้สัมผัสคือชีวิตความเป็นอยู่อย่างชาวไทยสมัยก่อนกับชุมชนตลาดน้ำอัมพวา
จังหวัดสมุทรสงคราม
ได้ยินได้เห็นสถานที่แห่งนี้จากรายการโทรทัศน์ที่ส่งตรงมาจากเมืองไทย
ตอนที่ดูอยู่ก็นึกในใจว่าถ้ามีโอกาสต้องไปเยือนให้ได้
ดังนั้นโปรแกรมตลาดน้ำอัมพวาจึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องมาระหว่างการท่องเที่ยวเมืองไทย
เมื่อทุกอย่างลงตัวเราก็ไม่รอช้า รีบแพคกระเป๋ามุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที
ที่พักของเราสำหรับทริปนี้คือบ้านอัมพวา
รีสอร์ตระดับสากลซึ่งถูกออกแบบเป็นเรือนไทย
ผสมผสานด้วยห้องน้ำสไตล์สากลเพื่อความสะดวกสบายของแขกที่มาใช้บริการ บรรยากาศของที่นี่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ
อากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะบริเวณห้องอาหารสบันงาซึ่งอยู่ติดแม่น้ำ มีลมเย็นๆพัดโชยมา
ยิ่งในช่วงยามเช้าและช่วงแดดร่มลมตก
พร้อมด้วยอาหารอร่อยๆจากเชฟที่มากด้วยประสบการณ์ด้านอาหาร
ความสุขมันเอ่อล้นเกินคำบรรยาย
บ้านอัมพวายังอำนวยความสะดวกในการจัดหาเรือหางยาวเพื่อพาเราไปเยี่ยมชมตลาดน้ำอัมพวาอีกด้วย
เราได้เรือของลุงยะ ชายสูงอายุใจดีเป็นผู้นำทางแถมยังเป็นไกด์ไปตลอดเส้นทางราว 15
กิโลเมตร จากแม่น้ำแม่กลองที่ท่าน้ำของโรงแรมไปยังคลองอัมพวา
ด้วยเส้นทางเป็นวงกลมไม่ต้องวิ่งเรือสวนทางกันแต่อย่างใด
ไฮไลท์ของทริปนี้ไม่ได้อยู่ที่ตลาดน้ำอัมพวาเพียงอย่างเดียว
แต่รวมถึงการได้ชมหิ่งห้อยตัวเป็นๆในช่วงกลางคืน เราแอบหวังลึกๆในใจว่า คืนนี้เจ้าหิ่งห้อยจะมาอวดแสงไฟให้ได้ชมเป็นบุญตา
ขณะที่ผู้สูงอายุในทริปแอบหัวเราะหึๆในลำคอ พลางบอกว่าจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนากับหิ่งห้อยที่ในอดีตมีอยู่ดาษดื่น
เมื่อเรือเฉียดเข้าคลองอำพวา
ภาพที่เห็นคือฝูงคนเดินไปมา
ที่นั่งอยู่ก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยบริเวณริมคลองนั่นเอง
เย็นวันนั้นไม่ค่อยมีเรือออกมาขายของมากนักเพราะฝนตกพรำๆเป็นระยะๆ
ตลาดน้ำของที่นี่มีเฉพาะวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์เท่านั้นค่ะ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่แห่มาสัมผัสบรรยากาศที่เรียบง่าย
ไม่ได้ถูกปรุงแต่งเหมือนในสังคมเมือง แต่มันก็ทำให้อัมพวาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มีที่พักแบบที่เรียกว่าโฮมเสตย์อยู่หลายแห่ง สร้างรายได้เสริมให้กับคนในท้องถิ่น
ลุงยะเริ่มลดความเร็วของเรือ ช่วงนั้นมีคุณยายวัย 83 ปีพายเรืออย่างกระฉับกระเฉงมาใกล้ๆ
เราเลยขอถ่ายภาพพร้อมกับอุดหนุนกล้วยน้ำว้า ในราคาหวีละ 5 บาท
ราคานี้จริงๆค่ะ คุณไม่ได้อ่านผิด หรือผู้เขียนไม่ได้เขียนผิดแน่นอน
จากนั้นเราขึ้นเรือแถวๆร้านสมานการค้า
แวะดื่มกาแฟเย็นอันเลื่องชื่อ ด้วยระยะเวลาในการทำการค้ามากว่า 70 ปี
จากรุ่นปู่สู่รุ่นพ่อ เรื่อยมาถึงรุ่นลูก เราแวะนั่งที่หน้าร้านแห่งนี้
ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมน้ำยามเย็น มีเสียงเพลงสมัยเก่าคลอเคลียอยู่ตลอด
จากนั้นได้เดินชมร้านค้าละแวกนั้น มีอยู่ร้านหนึ่งที่ขายของเล่นและขนมแบบสมัยก่อน
ชวนให้นึกถึงชีวิตในวัยเยาว์ที่ยังไม่ถูกเกมคอมพิวเตอร์จากญี่ปุ่นมามอมเมาเหมือนในสมัยนี้
คิดถึงการใช้ชีวิตของเด็กๆในเมืองยุคนี้แล้วเหนื่อยใจ
คงต้องอาศัยการสร้างความรักความเข้าใจจากครอบครัวให้มากๆ กลับมาที่เรื่องของเรา
หลังจากใช้เวลาที่ตลาดน้ำสักพัก เราก็ลงเรือต่อ ชมชีวิตความเป็นอยู่ของคนละแวกนั้น
ที่ประทับใจอย่างหนึ่งคือรอยยิ้มและน้ำใจไมตรีที่ทุกคนหยิบยื่นให้
ไม่ได้เป็นวิถีชีวิตแบบตัวใครตัวมันอย่างในสังคมเมือง
อีกหนึ่งจุดหมายที่เรือในลำน้ำต้องจอดคือวัดจุฬามณี
วัดแห่งนี้มีความสวยงามมากและเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธให้ความศรัทธา
เราไม่ได้แวะขึ้นไปเนื่องจากวางแผนไว้ว่าวันรุ่งขึ้นก่อนกลับกรุงเทพฯจะต้องมาสักการะหลวงพ่อเนื่อง
ที่ถึงแม้ท่านจะดับสูญไปแล้ว แต่ร่างของท่านไม่เน่าเปื่อย
สร้างความฉงนให้ผู้คนไปตามๆกัน
และแล้วเราก็เริ่มเห็นแสงไฟริบหรี่จากเจ้าหิ่งห้อย
หรือคนในสมัยก่อนเรียกว่าตัวทิ้งถ่วง ซึ่งมารวมตัวอยู่ที่ต้นลำพู
แสงไฟสวยงามระยิบระยับเหมือนไฟที่ถูกประดับที่ต้นคริสต์มาส แต่อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ
เอาเป็นว่าบรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งใจไว้
No comments: